ปรึกษาศัลยกรรม

สอบถามราคาและโปรโมชั่น

ปรึกษาศัลยกรรม

สอบถามราคาและโปรโมชั่น

เสริมสะโพก (Buttock Augmentation)

การผ่าตัดเสริมสะโพก เป็นการปรับสรีระรูปร่างให้เห็นส่วนโค้ง ส่วนเว้าของเอว  สะโพก และต้นขา เด่นชัดขึ้น   ช่วยทำให้มีสัดส่วนของเอว สะโพก ต้นขา สวยสมดุล และไม่ทำให้เกิดอันตรายหรือมีปัญหาแทรกซ้อนมากเหมือนการไปรับการฉีดซิลิโคน หรือสารเหลวอื่น ๆ เข้าสู่สะโพก  ซึ่งเกิดผลข้างเคียงหลายอย่างตามมาเพราะเป็นสารแปลกปลอม เกิดเป็นก้อนพังผืด สะโพกบิดเบี้ยว ผิดรูป ซิลิโคนมีการไหลไปยังส่วนต่างๆ หรือย้อยลงเหมือนคนมีอายุ เพราะซิลิโคนเหลวจะคงสภาพอยู่ได้ไม่นาน การผ่าตัดรักษาก็เป็นไปได้ยากที่จะแก้ไข และทำให้สะโพกนั้นกลับมาสวยเหมือนเดิม

การผ่าตัดเสริมสะโพกจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด   ในการปรับรูปทรงสะโพกให้ ผาย กลมกลึง  กระชับสวยงาม  ศัลยแพทย์จะทำการเปิดแผลบริเวณ ร่องก้น ยาวประมาณ 4-5 ซ.ม. จากนั้นใส่ ถุงซิลิโคน (Buttocks impaints) เป็นรูปทรงกลม หรือทรงรี แล้วแต่ความเหมาะสม เข้าไปใต้กล้ามเนื้อก้น  ที่อยู่ระหว่างกล้ามเนื้อส่วนนอกและส่วนกลาง ซึ่งเป็นเทคนิคใหม่ที่ช่วยลดปัญหาการเคลื่อนที่ของถุงซิลิโคน ซึ่งอาจจะทำให้ระดับของสะโพกไม่เท่ากันสองข้าง และอาจเกิดพังผืดได้

ซิลิโคนที่ใช้ในการผ่าตัดศัลยกรรมเสริมสะโพกนั้น เป็นซิลิโคนแบบที่ภายในบรรจุซิลิโคนเจล แบบเดียวกับซิลิโคนที่ใช้ในการศัลยกรรมเสริมหน้าอก แต่มีขนาด รูปร่าง และรายละเอียดที่แตกต่างกัน เป็นซิลิโคนที่เหมาะสำหรับการเสริมสะโพกเท่านั้น เพราะการเสริมสะโพกนั้นเป็นการใส่ซิลิโคนในกล้ามเนื้อมัดใหญ่ที่มีการเคลื่อนไหวเยอะ และมีแรงกดมากกว่าบริเวณหน้าอก

ทั้งนี้ซิลิโคนสำหรับเสริมสะโพกนั้น เจลซิลิโคนที่บรรจุภายในจะมีความแข็ง และมีความเหนียวมากกว่าซิลิโคนสำหรับเสริมหน้าอก รูปร่างก็จะแบนและกว้างกว่า ส่วนผิวของซิลิโคนสำหรับเสริมสะโพกก็มีทั้งแบบเรียบ และแบบผิวทรายทั้งนี้สามารถใช้ได้ทั้ง 2 แบบยังไม่มีผลวิจัยแน่ชัดว่าลักษณะผิวแบบไหนมีข้อดี-ข้อเสียต่างกันอย่างไร ซิลิโคนสำหรับเสริมสะโพกจะใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศยุโรป รวมถึงประเทศไทย เพราะมีความปลอดภัย และทำให้การผ่าตัดเสริมสะโพกออกมามีรูปร่างที่ดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

รูปทรงของซิลิโคน

  1. ทรงกลม จะมีรูปร่างกลมและแบนเหมาะสำหรับเสริมบริเวณสะโพกด้านใน หรือ บริเวณก้น
  2. ทรงหยดน้ำหรือทรงรี ตัวซิลิโคนจะมีรูปทรงวงรีเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมด้านข้างของสะโพกโดยมีข้อดีคือ มีเมื่อเสริมแล้วจะได้ธรรมชาติ

การฉีดไขมันร่วมกันกับการเสริมซิลิโคนสะโพก

การเสริมสะโพกด้วยการฉีดไขมัน หรือเรียกอีกอย่างว่า Brazilian Butt Lift เป็นการเสริมสะโพกอีกหนึ่งวิธีที่ได้รับความนิยมมากเช่นกัน ศัลยแพทย์จะทำการดูดไขมันส่วนเกินจากส่วนต่างๆของร่างกาย เช่น หน้าท้อง เอว หรือต้นขา จากนั้นศัลยแพทย์จะฉีดไขมันเข้าไปที่สะโพก เพื่อเสริมสะโพกให้มีขนาดที่สวยงามมากยิ่งขึ้น สามารถทำพร้อมกับการเสริมด้วยถุงซิลิโคน (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแพทย์ประเมิน)

ขั้นตอนการเสริมสะโพกที่โรงพยาบาลเอเซีย

  1. แพทย์จะมีการให้คำปรึกษาก่อนทำศัลยกรรม และวิเคราะห์รูปร่างของผู้เข้ารับบริการ เนื่องจากสะโพกของแต่ละคนนั้นมีความแตกต่างกัน ดังนั้นต้องมีการประเมินพื้นฐานของกายภาพ และเลือกวิธีการที่จะใช้ก่อนการผ่าตัด เพื่อผลลัพธ์ที่ออกมาเห็นผลชัดเจน ดีที่สุด และปลอดภัยที่สุด
  2. วิสัญญีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะทำการดมยาสลบให้กับคนไข้ และเฝ้าดูแลในการทำศัลยกรรมอยากใกล้ชิด
  3. ศัลยแพทย์จะทำการเปิดแผลบริเวณกึ่งกลางสะโพก โดยบาดแผลจะมีความยาวประมาณ 3-4 เซนติเมตร
  4. ทำการเปิดช่องว่างเพื่อเตรียมทำการนำซิลิโคนใส่เข้าไปในบาดแผลที่เปิดไว้
  5. ทำการนำซิลิโคนเสริมสะโพกใส่เข้าไปทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเทคนิคการผ่าตัดที่ทีมแพทย์ได้ประเมินไว้ ว่าควรจะเสริมในเทคนิคใด
  6. ทำการเย็บปิดบาดแผล
  7. ปิดบาดแผลด้วยผ้ายืดปิดแผล
  8. ใช้เวลาผ่าตัดประมาณ 2-3 ชั่วโมง

หมายเหตุ ในบางรายอาจจะต้องมีการดูดไขมัน หรือฉีดไขมันเสริมเข้าไปด้วย ทางทีมแพทย์จะทำการประเมินก่อนที่จะทำการผ่าตัดศัลยกรรม และถ้าหากต้องทำการดูดไขมัน หรือฉีดไขมันเสริมเข้าไปด้วยนั่น ทางแพทย์จะทำการเปิดแผลแยกเป็นขนาดเล็กๆ อีกแผล และอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับแผลผ่าตัด

รีวิวเสริมสะโพก

การเตรียมตัวก่อนการผ่าตัดเสริมสะโพก

  1. แจ้งให้แพทย์ทราบข้อมูลโรคประจำตัว ยาโรคประจำตัว, ประวัติการผ่าตัด, ประวัติการแพ้ยา, ประวัติการแพ้อาหาร (หากมีประวัติการรักษาจากโรงพยาบาล ควรนำมาในวันปรึกษาด้วย) หรือแจ้งก่อนวันจองคิวผ่าตัด
  2. ผู้ป่วยที่ได้รับยาละลายลิ่มเลือด และยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด หรือยาโรคประจำตัวอื่น ๆ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำการผ่าตัดหรือแจ้งก่อนวันจองคิวผ่าตัด
  3. งดทานวิตามินอาหารเสริมต่าง ๆ ทุกชนิด เช่น วิตามินอี, น้ำมันปลา, ใบแปะก๊วย เมล็ดองุ่น โสม ฯลฯ ต้องหยุดยาอย่างน้อย 1 เดือน
  4. งดดื่มน้ำ งดรับประทานอาหารทุกชนิดก่อนผ่าตัด 8 ชั่วโมง*
  5. ควรสระผมให้สะอาดเรียบร้อยก่อนวันผ่าตัด และไม่แต่งหน้าในวันผ่าตัด งดใส่คอนแทคเลนส์ในวันผ่าตัด หากมีปัญหาด้านสายตาให้สวมแว่นสายตาแทน
  6. งดใส่เครื่องประดับทุกชนิด เช่น ต่างหู สร้อย แหวน จิลต่าง ๆ บนร่างกายในวันผ่าตัด (หากถอดออกไม่ได้ต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบ)
  7. งดสูบบุหรี่อย่างน้อย 4 สัปดาห์ก่อนและหลังผ่าตัด เนื่องจากสารที่อยู่ในบุหรี่มีผลลดปริมาณออกซิเจนในเลือดและทำลายเซลล์ที่จะซ่อมแซมการหายของแผล มีผลทำให้เลือดที่จะมาหล่อเลี้ยงบริเวณที่ผ่าตัดลดลง โดยมีโอกาสให้ผิวหนังที่ผ่าตัดขาดออกซิเจน ทำให้แผลหายช้ากว่าปกติ และเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้
  8. งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 1-2 วันก่อนผ่าตัด และต่อเนื่องอย่างน้อย 1 สัปดาห์หลังผ่าตัด
  9. ก่อนการผ่าตัด คนไข้ต้องทำความสะอาดเล็บมือเล็บเท้าให้สะอาด งดการทาเล็บมือ, เล็บเท้า และงดการต่อเล็บทุกชนิด
  10. คนไข้ต้องเข้ามาทำการตรวจเลือดที่รพ.อย่างน้อย 5-7 วันก่อนการผ่าตัด (กรณีไม่สะดวกเข้ามาเจาะเลือดที่รพ.สามารถส่งผลตรวจเลือดมาได้)
  11. กรณีคนไข้ที่มีอายุเกิน 45 ปี ต้องมีผลตรวจสุขภาพและใบรับรองแพทย์ก่อนเข้ารับการผ่าตัด (ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์)
  12. เตรียมภาวะจิตใจให้พร้อม ไม่ควรตื่นเต้นมากเกินไป และควรทราบว่าหลังผ่าตัดย่อมเกิดการบวมช้ำบริเวณแผล และการเปลี่ยนแปลงของใบหน้า หรือบริเวณร่างกายที่ทำการผ่าตัด ซึ่งต้องใช้เวลาในการหายของแผลหรือความเคยชินกับภาพลักษณ์ใหม่

การดูแลหลังผ่าตัดเสริมสะโพก

  1. นอนพักที่โรงพยาบาลประมาณ 2 – 3 วัน
  2. หลังผ่าตัดแพทย์จะใส่สายระบายเลือด-น้ำเหลืองประมาณ 2 – 3 วัน
  3. แพทย์จะเปิดผ้าพันแผลในวันที่ 2 หรือ 3 และหลังจากเปิดแผล ควรทำแผลทุกวันจนถึงวันตัดไหม
  4. หลังผ่าตัดต้องนอนคว่ำอย่างน้อย 7 วัน เพื่อป้องกันไม่ให้แผลแยกและช่วยทำให้แผลหายเร็วขึ้น หลังจากนั้น สามารถนอนตะแคงสลับการนอนคว่ำ เป็นเวลาประมาณ 2-3 อาทิตย์ และต้องใส่กางเกงยกกระชับสะโพก อย่างน้อย 1 เดือนเพื่อช่วยให้แผลสมานเร็วขึ้น
  5. ผลของการผ่าตัดจะเห็นผลได้ชัดเจนตั้งแต่วันแรก แต่จะยังมีอาการบวมอยู่ โดยก้น/สะโพกจะดูนิ่มและเป็นธรรมชาติประมาณ 2 – 3 เดือนขึ้นไปหลังผ่าตัด
  6. วันที่ 3 หลังการผ่าตัดสามารถเดินหรือนั่งได้ช้า ๆ โดยที่อาจจะรู้สึกปวดตึงอยู่บ้าง
  7. หลังจากผ่าตัด 1-2 สัปดาห์ สามารถทำการออกกำลังกายเบาๆ เพื่อยืดกล้ามเนื้อ โดยการงอหัวเข่าขึ้นประมาณ 4 – 5 ครั้งต่อวันก็จะช่วยให้เดินได้ปกติเร็วขึ้น (ควรปรึกษาแพทย์)
  8. กรณีถ้ามีการดูดไขมันร่วมด้วยต้องใส่ชุดสำหรับดูดไขมันประมาณ 3 – 4 อาทิตย์ขึ้นไป
  9. สามารถออกกำลังกายตามปกติหลังผ่าตัด 4 สัปดาห์ขึ้นไป