ปรึกษาศัลยกรรม

สอบถามราคาและโปรโมชั่น

ปรึกษาศัลยกรรม

สอบถามราคาและโปรโมชั่น

ศัลยกรรมดึงหน้า คืออะไร?

ดึงหน้า คือวิธีการศัลยกรรมทางการแพทย์เพื่อทำการยกกระชับใบหน้า ริ้วรอยต่างๆ เริ่มตั้งแต่ใบหน้าจนถึงลำคอ โดยศัลยแพทย์จะทำการตกแต่งตัด ดึง ส่วนที่เกิน ไม่ว่าจะเป็นไขมัน พร้อมทั้งดึงกล้ามเนื้อใบหน้าให้ตึงขึ้น หน้าผาก คิ้ว แก้มที่ห้อย หรือ เหี่ยวย่น ซึ่งผู้รับบริการสามารถเลือกได้ว่าจะดึงบริเวณส่วนใดบ้าง

วิธีการผ่าตัดดึงหน้า

          การผ่าตัดดึงหน้าต้องทำภายใต้การดมยาสลบโดยวิสัญญีแพทย์ โดยผู้ที่การรักษาจะไม่รู้สึกตัว การผ่าตัดจะใช้เวลา 2-4 ชั่วโมง ที่โรงพยาบาลเอเซียเรามี การผ่าตัดดึงหน้า ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์เป็นเหมือนธรรมชาติมี 6 แบบด้วยกันดังนี้

เทคนิคการผ่าตัดดึงหน้า

 โรงพยาบาลเอเซีย มีการผ่าตัดดึงหน้าหลายเทคนิค บางท่านอาจจะใช้เพียงเทคนิคเดียว หรือหลายเทคนิคร่วมกันเพื่อให้ได้ผลการผ่าตัดที่ดีที่สุด ดังนี้

  1. ผ่าตัดดึงหน้าทั้งหมด( โหนกแก้ม ร่องแก้ม แนวกราม- คาง)  ด้วยแผลหน้าหู และ หลังหู เย็บชั้นกล้ามเนื้อ SMAS ให้ตึง ( Full facelift )
  2. การผ่าตัดดึงโหนกแก้ม ร่องแก้ม แผลหน้าหู (Mini face lift and Mid face lift)
  3. ผ่าตัดยกกระชับใบหน้าด้วย วัสดุสังเคราะห์  ( Endotine  Mid face lift)
  4. ผ่าตัดยกกระชับคางห้อย ด้วยการเย็บกล้ามเนื้อใต้คาง ( Neck lift)
  5. ผ่าตัดยกคิ้ว ( Forehead lift )
  6. ดึงหางคิ้ว หางตา Lateral Brow lift

บริเวณที่ผ่าตัดดึงหน้าแบ่งได้เป็น 3 ส่วน ได้แก่ 

  1. ใบหน้าส่วนบน บริเวณหน้าผากตึงขึ้น ริ้วรอยหายไป คิ้วและตาที่ตก ถูกยกขึ้นด้วย  แผลจะอยู่บริเวณไรผมเหนือศรีษะ

      2.ใบหน้าส่วนกลาง และ ส่วนล่าง คือ ได้บริเวณหางตา หางคิ้ว ขมับ ร่องแก้ม รองน้ำหมากถูกยกขึ้น แผลจะซ่อนอยู่บริเวณไรผมตรงช่วงขมับจนถึงหน้าหู

  1. คอ บริเวณลำคอทั้งหมด แผลจะอยู่บริเวณหลังใบหู หรือบริเวณใต้คางร่วมด้วย

1 การผ่าตัดดึงหน้าทั้งหน้า ( Full face lift) รวม โหนกแก้ม  ร่องแก้ม  แนวกราม-คาง  โดยเปิดแผลหน้าหูถึงหลังหู เปิดเลาะไปถึงชั้น กล้ามเนื้อ  แล้วแยกเอาชั้นของ SMAS ออกมาดึงให้ตึงแล้วตัดส่วนเกินออก  แล้วเย็บให้ตึงที่สุด จากนั้น ชั้นของเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง และ ผิวหนังก็ต้องดึงให้ตึงตามชั้นของ SMAS แล้วตัดหนังส่วนเกินในชั้นของเนื้อเยื่อและ ผิวหนังออกให้พอดี แล้วเย็บปิดแผลให้สวยงาม   เทคนิคนี้เหมาะกับผู้ที่มีใบหน้าหย่อนคล้อยมาก ถึงแนวกราม-คาง 

  1. การผ่าตัดดึงโหนกแก้ม- ร่องแก้ม ( Mini facelift / Midface lift  ) เป็นการผ่าตัดเปิดแผลสองตำแหน่งคือที่ใต้ตาล่าง และหน้าหู  การเปิดแผลที่ตาล่าง เพื่อดึงกล้ามเนื้อโหนกแก้ม  การเปิดแผลที่หน้าหูตั้งแต่ขมับเหนือหูลงมาหน้าหู  แล้วเลาะผิวหนัง และเนื้อเยื่อบริเวณหน้าหู และแก้ม เพื่อกระชับเนื้อเยื่อให้ตึง แล้วตัดผิวหนังส่วนเกินออกเย็บแผลให้เรียบร้อย  เทคนิคนี้ เหมาะกับผู้ที่มีร่องแก้มห้อย ย่อนคล้อยไม่มาก  
  1. การผ่าตัดดึงหน้าโดยใช้วัสดุสังเคราะห์ (Endotine – Mid face lift) มาช่วยดึงชั้นกล้ามเนื้อส่วนลึกของหน้า  ด้วยการเปิดแผลหน้าหู แล้วใช้ Endotine ดึงกล้ามเนื้อแก้มล่างขึ้นตามความต้องการ แล้วตัดหนังส่วนเกินออกแล้ว เย็บปิดแผล   การใช้เทคนิคนี้ จะช่วยให้โหนกแก้มสูงขึ้น แล้ว วัสดุที่ใช้จะสลายไปภายใน 6 เดือน ข้อควรระวัง ตัว  Endotine  อาจจะทำให้เส้นประสาท ฉีกขาดได้
  1. การผ่าตัดกระชับลำคอ/ ผ่าตัดดึงคอ 
  • เปิดแผลที่หน้าหูหลังหู ยาว (Neck Lift )ดังรูป Incision line 1 เพื่อกระชับกล้ามเนื้อแก้ม แนว กราม-คาง และคอ โดยการผ่าตัดเลาะชั้นของ SMAS ตั้งแต่ แนวคอ  กราม-คาง และแก้ม แล้วดึงให้ตึง ตัดส่วนเกินออก แล้วเย็บชั้น SMAS ให้ตึงตามแนวรูป

ข้อดีของการผ่าตัดดึงหน้า

  •       ประสิทธิผลการยกกระชับที่เห็นผลอย่างแน่นอน
  •       ระยะคงอยู่อย่างเป็นถาวร
  •       ดีไซน์ตามลักษณะใบหน้าให้เหมาะกับในแต่ละบุคคล
  •       ประสิทธิภาพการแก้ไขริ้วรอยทั่วทั้งใบหน้า
  •       แทบไม่มีแผลเป็นหรือการได้รับความเสียหายของเส้นประสาท

ใครเหมาะกับการดึงหน้า ?

การดึงหน้าจะเริ่มต้นเมื่ออายุ 40 ปีขึ้นไป หรือถ้าใครรู้สึกว่าเริ่มหย่อนคล้อยแล้วแนะนำให้เข้ามาปรึกษาคุณหมอเพื่อ ดึงหน้าบางส่วนได้

หลังการผ่าตัดดึงหน้าจะเป็นอย่างไร?

หลังผ่าตัดทันทีอาจจะมีอาการปวดตุบๆบริเวณแผลที่ผ่าตัด ให้รับประทานยาให้ตรงตามที่แพทย์สั่ง ในช่วง 2-3 อาทิตย์แรอาจมีอาการชาที่บริเวณใบหน้า ไม่ต้องตกใจอาการเหล่านั้นจะหายไปเอง แผลผ่าตัดจะเริ่มเข้าที่และเริ่มประสานกันใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือน

ระยะเวลาการฟื้นตัวของการดึงหน้า

หลังการผ่าตัดอาจจะมีอาการบวมช้ำเขียวและ อาการชาประมาณ 1-2 อาทิตย์ ต้องใส่ผ้ารัดหน้า24 ชั่วโมง  3 วันแรกหลังผ่าตัด หลังผ่าตัด หลังจากนั้นใส่ตอนนอน 1 เดือน  อาการบวมช้ำที่หน้าจะเริ่มดีขึ้น หลัง ผ่าตัด 2 อาทิตย์  แล้วให้เริ่มนวดหน้าเบาๆ ช่วยกระตุ้น เส้นประสาท และ ไล่น้ำเหลือง ช่วยยุบบวม สามารถกลับไปทำงานตามปกติได้  14 วัน หลังผ่าตัด  ออกกำลังกายได้หลังผ่าตัด 4 อาทิตย์  การผ่าตัดจะยุบบวม และอาการชาจะดีขึ้น และเห็นผลการผ่าตัดชัดเจนเต็มที่ 6-12 เดือน

รีวิวดึงหน้า ดึงคอ

การเตรียมตัวก่อนการผ่าตัด

  1. แจ้งให้แพทย์ทราบข้อมูลโรคประจำตัว ยาโรคประจำตัว, ประวัติการผ่าตัด, ประวัติการแพ้ยา, ประวัติการแพ้อาหาร (หากมีประวัติการรักษาจากโรงพยาบาล ควรนำมาในวันปรึกษาด้วย) หรือแจ้งก่อนวันจองคิวผ่าตัด
  2. ผู้ป่วยที่ได้รับยาละลายลิ่มเลือด และยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน, Coumadin, Plavix หรือยาแก้ปวดกลุ่ม NSAID เช่น Voltaren, Brufen หรือยาโรคประจำตัวอื่น ๆ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำการผ่าตัดหรือแจ้งก่อนวันจองคิวผ่าตัด
  3. งดทานวิตามินอาหารเสริมต่าง ๆ ทุกชนิด เช่น วิตามินอี, น้ำมันปลา, ใบแปะก๊วย เมล็ดองุ่น โสม ฯลฯ ต้องหยุดยาอย่างน้อย 1 เดือน
  4. ควรสระผมให้สะอาดเรียบร้อยก่อนวันผ่าตัด และไม่แต่งหน้าในวันผ่าตัด งดใส่คอนแทคเลนส์ในวันผ่าตัด หากมีปัญหาด้านสายตาให้สวมแว่นสายตาแทน
  5. งดใส่เครื่องประดับทุกชนิด เช่น ต่างหู สร้อย แหวน จิลต่างๆบนร่างกายในวันผ่าตัด (หากถอดออกไม่ได้ต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบ)
  6. งดสูบบุหรี่อย่างน้อย 4 สัปดาห์ก่อนและหลังผ่าตัด เนื่องจากสารที่อยู่ในบุหรี่มีผลลดปริมาณออกซิเจนในเลือดและทำลายเซลล์ที่จะซ่อมแซมการหายของแผล มีผลทำให้เลือดที่จะมาหล่อเลี้ยงบริเวณที่ผ่าตัดลดลง โดยมีโอกาสให้ผิวหนังที่ผ่าตัดขาดออกซิเจน ทำให้แผลหายช้ากว่าปกติ และเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้
  7. ก่อนการผ่าตัด คนไข้ต้องทำความสะอาดเล็บมือเล็บเท้าให้สะอาด งดการทาเล็บมือ, เล็บเท้า และงดการต่อเล็บทุกชนิด
  8. คนไข้ต้องเข้ามาทำการตรวจเลือดที่รพ.อย่างน้อย 5-7 วันก่อนการผ่าตัด (กรณีไม่สะดวกเข้ามาเจาะเลือดที่รพ.สามารถส่งผลตรวจเลือดมาได้)
  9. กรณีคนไข้ที่มีอายุเกิน 45 ปี ต้องมีผลตรวจสุขภาพและใบรับรองแพทย์ก่อนเข้ารับการผ่าตัด (ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์)
  10. เตรียมภาวะจิตใจให้พร้อม ไม่ควรตื่นเต้นมากเกินไป และควรทราบว่าหลังผ่าตัดย่อมเกิดการบวมช้ำบริเวณแผล และการเปลี่ยนแปลงของใบหน้า หรือบริเวณร่างกายที่ทำการผ่าตัด ซึ่งต้องใช้เวลาในการหายของแผลหรือความเคยชินกับภาพลักษณ์ใหม่

การดูแลหลังผ่าตัด

  1. พักฟื้นประมาณ 2-3 ใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ แต่อาจมีอาการปวดเล็กน้อยเนื่องจากเป็นการผ่าตัด ซึ่งสามารถรับประทานยาแก้ปวดในการรักษาได้
  2. หลังผ่าตัดอาจมีอาการตึงๆ ซึ่งเป็นเรื่องปกติของการทำหัตถการบริเวณศีรษะอยู่แล้ว โดยจะค่อยๆ ดีขึ้นหายไปเอง
  3. หลังผ่าตัดอาจมีอาการ บวม เขียว ช้ำ หรือ ระบบบริเวณที่หน้าผาก เปลือกตาบน หรือใต้ตาได้ ซึ่งอาการเหล่านี้จะเกิดมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ส่วนใหญ่แล้วอาการจะลดลงภายใน 2-4 สัปดาห์
  4. ในช่วงสัปดาห์แรกสามารถพบอาการ ตาแห้ง หรือมีน้ำตาไหลอยู่ตลอดเวลาได้ ในบางรายอาจมีผลต่อการปิดตาเวลาหลับ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติเพราะเกิดจากอาการบวมและการดึงรั้งของผิวหนังในช่วงแรก อาการจะค่อยๆ ดีขึ้นหลังจากที่ทำไปแล้วประมาณ 2-4 สัปดาห์
  5. หลังผ่าตัดเสร็จเจ้าหน้าที่พยาบาลจะพันผ้ารัดบริเวณศีรษะเอาไว้ ซึ่งจำเป็นต้องพันประมาณ 3 วัน หลังการผ่าตัด
  6. หลังผ่าตัดสามารถล้างหน้าได้ตามปกติ แต่ต้องระวังไม่ให้แผลผ่าตัดถูกน้ำในช่วง 3 วันแรก โดยสามารถเริ่มสระผมเบาๆ ได้หลังจากครบ 3 วันขึ้นไป
  7. ในช่วง 3 วันแรก แนะนำให้บรรเทาอาการบวมด้วยการประคบเย็น บริเวณหน้าผากและรอบดวงตา ตลอด 24 ชั่วโมง แต่ถ้ายังมีอาการบวมอยู่สามารถประคบเย็นต่อได้ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วอาการบวมจะค่อยๆ ลดลงภายใน 2-4 สัปดาห์
  8. เวลานอนแนะนำให้นอนหัวสูงถ้าสามารถนอนในท่ากึ่งนอนกึ่งนั่งได้ยิ่งดีแต่ถ้าไม่สามารถนอนได้ให้นอนหนุนหมอน 2-3 ใบ จะช่วยลดอาการเขียวช้ำได้เป็นอย่างดี
  9. วิธีการนี้หลังการรักษา 1-2 สัปดาห์ก็มาตัดไหมได้แต่อย่างไรก็ตามบนใบหน้าก็จะมองไม่เห็นแผล แต่อาจจะมีเรื่องของอาการบวมบ้างเล็กหน่อยหลังการรักษา
  10. งดการทำงานหนักหรือการออกกำลังกายที่หนักที่ทำให้เกิดการกระทบกระเทือนในบริเวณศีรษะ อย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ เพื่อไม่ให้เกิดแผลเป็น เกิดลิ่มเลือดและเลือดคั่งได้
  11. งดเว้นการดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่ อย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ หรือ จนกว่าแผลจะหายดี